รู้จักกับ Power optimizer เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับ Rapid shutdown

การประหยัดค่าไฟในโรงงานด้วยการ ติดตั้งโซล่าเซลล์ ถือเป็นทางออกสู่พลังงานสะอาดที่ยั่งยืนลดค่าไฟได้มากในระยะยาว และด้วยความที่เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์พัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้มีอุปกรณ์เสริมในระบบที่ช่วยลดค่าไฟได้มากขึ้น แม้เราจะต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มก็ตาม แต่ก็คุ้มค่าแน่นอน หนึ่งในนั้น คือ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” (power optimizer) ที่เป็นอุปกรณ์ปรับแรงดันไฟฟ้าที่สำคัญและตอบโจทย์กับระบบ โซล่าเซลล์โรงงาน

Power optimizer คืออะไร ?

เป็นอุปกรณ์เสริมขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่บริเวณใต้แผงโซล่าเซลล์ ทำให้แผงโซล่าเซลล์สามารถผลิตไฟฟ้าออกมาได้สูงสุดโดยอิสระ ด้วยการมี MPPT (Maximum Power Point Tracking) อยู่ในตัว กล่าวคือแผงโซล่าเซลล์แต่ละแผงจะสามารถแยกการทำงานจากกันได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในกรณีที่แผงใดแผงหนึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง ก็จะไม่กระทบกับการทำงานของแผงอื่น

พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์ เทียบกับสตริงอินเวอร์เตอร์ (String Inverter) นับว่าเหนือกว่ามาก เพราะสตริงอินเวอร์เตอร์ จะรวบรวมกระแสไฟฟ้าจากทุกแผง ดังนั้นหากแผงใดแผงหนึ่งมีประสิทธิภาพต่ำลง ก็จะทำให้แผงอื่นๆ มีการทำงานที่ต่ำลงตามไป ทำให้ผลผลิตไฟโดยรวมน้อยนั่นเอง

โดยประสิทธิภาพของแผงโซล่าเซลล์จะต่ำลง เมื่อมีฝุ่น มูลนก เกาะอยู่บนแผง รวมถึงในกรณีที่มีเงาจากเมฆบดบังด้วย เป็นต้น

รองรับ Rapid Shutdown อย่างไร ?

“พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” จะช่วยปรับกระแสและแรงดันไฟฟ้าฝั่ง DC ให้ “เหมาะสม” ก่อนส่งไปยัง String Inverter เพื่อแปลงเป็นกระแสตรง (AC) ในระดับที่ปลอดภัย โดยระบบจะทำการลดแรงดันไม่ให้สูงเกิน 30 โวลต์ภายใน 30 วินาที ถูกต้องตามกฏหมาย วสท.022013-22 และตามมาตรฐาน Rapid shutdown

ขณะที่ระบบสตริงอินเวอร์เตอร์ ด้วยความที่มันจะรวบรวมกระแสไฟฟ้าจากทุกแผง เพื่อส่งไปยังอินเวอร์เตอร์เครื่องใหญ่ๆ เครื่องเดียว ตรงนี้จะทำให้แรงดันไฟไฟ้ามากกว่า 600 โวลต์เลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากมีเพลิงไหม้เกิดขึ้นจะเป็นอันตรายอย่างมาก

ดังนั้น “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งกับระบบโซล่าเซลล์บนโรงงานที่เต็มไปด้วยแผงโซล่าเซลล์จำนวนมาก เพราะจะรองรับทั้งประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความปลอดภัยด้วยแต่จะมีราคาติดตั้งที่แพงกว่าสตริงอินเวอร์เตอร์ เพราะแน่นอนว่า Power optimizer ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม แต่แน่นอนว่าในระยะยาวนั้นระบบนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างแน่นอน

TIP

• สามารถนำ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” 1 ตัว เชื่อมต่อกับแผงโซล่าเซลล์ 1 แผง หรือจะนำ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” 1 ตัว เชื่อมต่อกับแผงโซล่าเซลล์ 2 แผง ก็ได้เช่นกัน

• โครงการโซล่ารูฟท็อปที่มีขนาดติดตั้ง 200 kwp ขึ้นไป (ขนาดอินเวอร์เตอร์มากกว่า 200 kwp) ต้องติดตั้ง ระบบ Rapid Shutdown
  ตามมาตรฐาน วสท. 2565 ซึ่ง “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” เป็นระบบที่รองรับกฏหมายดังกล่าว

ข้อดีของ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์”

1. หากมีเงาบังแผงโซล่าเซลล์ ประสิทธิภาพจะลดลงเฉพาะคู่ที่ต่อด้วย “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” เดียวกันเท่านั้น (ในกรณีที่ optimizer 1 ตัว มีการเชื่อมต่อกับแผงโซล่าเซลล์จำนวนน้อย)

2. มีระบบ Monitoring ที่สามารถตรวจสอบได้ทันที หากแผงใดเกิดชำรุด

3. มีคุณสมบัติคล้าย Micro-Inverter และมีราคาถูกกว่า แต่จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าเล็กน้อย

4. รองรับ Rapid shutdown (ระบบที่สามารถลดแรงดันไม่ให้สูงเกิน 30 โวลต์ภายใน 30 วินาที)

ข้อเสียของ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์”

1. หากมีเงาบังแผงโซล่าเซลล์ ประสิทธิภาพของแผงที่เชื่อมต่อกับ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” เดียวกันจะต่ำลงตามไปด้วย (ในกรณีที่ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” 1 ตัว มีการเชื่อมต่อกับแผงโซล่าเซลล์จำนวน 2 แผง)

2. หากมี “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” ตัวหนึ่งเสีย ต้องขึ้นไปบนหลังคา เพื่อทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนขณะที่ระบบสตริงอินเวอร์เตอร์สามารถทำการซ่อมแซม หรือเปลี่ยนได้ภายในอาคาร

อย่างไรก็ตามหากเป็นการ ติดตั้งโซล่าเซลล์โรงงาน โดยเลือกใช้อุปกรณ์ “พาวเวอร์ออฟติไมเซอร์” นั้น คุ้มค่าแน่นอนในระยะยาว เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเท่ากับการลดค่าไฟที่มากขึ้นแล้ว ยังช่วยปรับแรงดันไฟฟ้าในระดับที่ปลอดภัยด้วย และในทางที่ดีควรศึกษาเทคโนโลยีนี้และหาบริษัทผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้คอยให้คำปรึกษา ตลอดจนการติดตั้งกับระบบโซล่าเซลล์ที่มั่นใจได้

Energy Green Plus+ รับติดตั้งโซล่าเซลล์โรงงาน สามารถสำรวจหน้างานและประเมินผลการประหยัดไฟฟ้าและผลการคืนทุนได้อย่างเชี่ยวชาญ พร้อมดูแลขอรับสิทธิ์ยกเว้นภาษี boi โซล่าเซลล์ และดูแลสินเชื่อจากธนาคารให้ฟรี ! หรือหากท่านใดสนใจโครงการ Private PPA เราก็สามารถลงทุนติดตั้งโซล่าเซลล์แทนคุณได้